วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Bill of Exchange ตั๋วแลกเงิน


Bill of Exchange

           Bill of Exchange is a way that can help the exporter get around the risk problems caused by open accounts and help the importer avoid the risk by payment in advance. This method of payment is Bill for Collection, which is called Payment against Documents.
           Bill of Exchange is a piece of paper that can be turned into money after all shipping documents are submitted by the exporter to the importer.
           The terms must be understood;
 1).   Drawer
       The person (company) who draws the bill of exchange. Usually, the drawer is the exporter of the transaction. The drawer’s signature is on the front part of the bill.
 2).  Drawee
   The person (company) who the bill is sent to—that is, the importer.
 3).  Payee   
     The person (company) to whom payment is made. Generally, the payee and the drawer are the same person.
 4).  Maturity date
  The date that the drawer (payee) must be paid according to the information shown on the Bill of Exchange; the due date.
 5).  Tenor
  The period of time at which the Bill of Exchange must be paid. It can be paid 30 days or 60 days after the importer received the goods.
      For bill for collection, commercial banks in the exporter’s and importer’s countries play an important role as agents to facilitate the payment process.

The procedure for payment by bill of exchange is as follows:
 Step One:      Trade agreement is settled.
 Step Two:      The exporter ships the goods and gets a B/L   from the shipping company.
 Step Three:   The goods are on the way to the importer.
 Step Four:     The exporter collects all documents concerned  such as packing list, B/L and invoice.
 Step Five:      The exporter fills in the B/E.
 Step Six:       The exporter sends the B/E and all the    documents to the exporter’s bank.
 Step Seven:   The exporter’s bank forwards the B/E and all   the documents to the importer’s bank.
 Step Eight:    If it is a D/A (Document against Acceptance) or  a time draft, the importer’s bank sends the B/E and all documents to the importer. The  importer or the bank signs on the draft.  When the B/E reaches the maturity date, the   exporter gets the payment.
 Step Nine:     If it is a D/P (Document against Payment), or a  sight draft, the importer pays the amount  stated on the B/E to the importer’s bank and money will be transferred to the exporter’s  bank. Then the exporter gets the payment  from the exporter’s bank.





The Parties to a Bill of Exchange:

The Drawer - Is the party that issues a Bill of Exchange in an international trade transaction; usually the seller.
The Drawee - Is the recipient of the Bill of Exchange for payment or acceptance in an international trade transaction; usually the buyer.
The Payee - Is the party to whom the Bill is payable; usually the seller or their bankers.

Tenor and Usance:
Tenor is the period of time after which a bill becomes payable. Thus, where a bill is payable after 90 days from the date of drawing or acceptance, the tenor of the bill is 90 days. Bill may be made payable:
On Demand. The bill so drawn is payable as soon as its payment is demanded by the holder of the bill.
A Sight. A bill of exchange so drawn becomes payable immediately it is brought to the notice of the drawee.
After Date. When a bill is drawn 'after date' its due date is calculated from the date of the bill.
After Sight. When a bill is drawn 'after sight' its due date is calculated from the date on which it is sighted or seen by the drawee i.e., from the date of acceptance by the drawee.
Usance. It is the usual time of payment of a bill of exchange as fixed by custom.

Days of grace:

In calculating the due date of payment it is customary in business circle to allow three additional days to the drawee or acceptor to meet the bill. The extra days are called "days of grace" or "grace days". Thus a bill dated 15th March, for three months becomes payable on the 18th June and this is the due date.

Holder:

Holder of a bill is a person who is entitled in his own right to the possession thereof and to claim the amount due thereon.

Holder in Due Course:

When a person takes a bill, complete and regular on the face of it and before its due date, in good faith and for valuable consideration he is called the holder in due course.

Acceptance:

When a drawee signs his name across the face of along with the word "accepted" the bill is said to be accepted and this act of the drawee is called acceptance of a bill. Before this is done, the drawee cannot be made liable for the bill.

Different Kinds of Acceptance:

General Acceptance:

When a bill is accepted without any condition to the order of the drawer, it is called general acceptance.

Qualified Acceptance:

When a bill is accepted with some qualifications to the order of the drawer it is called qualified acceptance.
A qualified acceptance again may be of five different types. These are following types:
Time. When the acceptor agrees to pay the bill on some day other than the date required by the drawer, it is called qualified acceptance as to time.
Place. When a bill is payable at a particular place and there only, it is called local qualified acceptance.
Partial. When a bill is accepted for a part of the amount of a bill, it is called partial qualified acceptance.
Parties. When a bill is accepted by one or two of the drawees, but not all, it is called qualified acceptance as to parties.
Condition. When a bill is accepted subject to a certain condition being fulfilled it is called conditional qualified acceptance.
ตั๋วแลกเงิน

           
ตั๋วแลกเงินเป็นวิธีที่สามารถช่วยให้ผู้ส่งออกที่ได้รับรอบปัญหาความเสี่ยงที่เกิดจากบัญชีที่เปิดและช่วยให้ผู้นำเข้าหลีกเลี่ยงความเสี่ยงโดยการชำระเงินล่วงหน้า วิธีการชำระเงินนี้เป็นบิลสำหรับคอลเลกซึ่งเรียกว่าการชำระเงินกับเอกสาร
           
ตั๋วแลกเงินเป็นชิ้นส่วนของกระดาษที่สามารถจะกลายเป็นเงินหลังจากจัดส่งเอกสารทั้งหมดจะถูกส่งโดยส่งออกไปยังผู้นำเข้า
           
เงื่อนไขที่จะต้องเข้าใจ;
 
1) ลิ้นชัก
       
คน (บริษัท ) ที่เหลือตั๋วแลกเงิน โดยปกติลิ้นชักเป็นผู้ส่งออกของรายการ ลายเซ็นของลิ้นชักที่อยู่ในส่วนด้านหน้าของใบเรียกเก็บเงิน
 
2) Drawee
   
คน (บริษัท ) ที่เรียกเก็บเงินจะถูกส่งไปซึ่งเป็นผู้นำเข้า
 
3) ผู้รับเงิน
     
คน (บริษัท ) ผู้ที่ชำระเงิน โดยทั่วไปผู้รับเงินและลิ้นชักที่มีบุคคลคนเดียวกัน
 
4) วันที่ครบกำหนด
  
วันที่ลิ้นชัก (ผู้รับเงิน) จะต้องจ่ายตามข้อมูลที่แสดงบนตั๋วแลกเงินนั้นวันครบกำหนด
 
5) แนวโน้ม
  
ระยะเวลาที่ตั๋วแลกเงินจะต้องมีการจ่ายเงิน จะสามารถจ่ายเงิน 30 วันหรือ 60 วันหลังจากที่ผู้นำเข้าที่ได้รับสินค้า
      
สำหรับการเรียกเก็บเงินสำหรับการเก็บรวบรวมธนาคารพาณิชย์ในประเทศผู้ส่งออกและนำเข้าของมีบทบาทสำคัญเป็นตัวแทนเพื่ออำนวยความสะดวกการชำระเงิน
ขั้นตอนการชำระเงินโดยตั๋วแลกเงินเป็นดังนี้
 
หนึ่งขั้นตอน : ข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศจะตัดสิน
 
ขั้นตอนที่สอง : เรือส่งออกสินค้าและได้รับ B / L จาก บริษัท ขนส่ง
 
ขั้นตอนที่สาม : สินค้าจะถูกทางไปผู้นำเข้า
 
สี่ขั้นตอน : การส่งออกจะรวบรวมเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้องเช่นรายการบรรจุ, L / B และใบแจ้งหนี้
 
Step Five : ส่งออกเติมใน B / E.
 
หกขั้นตอนการส่งออกส่ง B / E และเอกสารทั้งหมดไปยังธนาคารที่ผู้ส่งออก
 
เจ็ดขั้นตอนการส่งออกของธนาคารส่งต่อ B / E และเอกสารทั้งหมดไปยังธนาคารของผู้นำเข้า
 
แปดขั้นตอนถ้าเป็น D / A (เอกสารกับการยอมรับ) หรือร่างเวลาที่ธนาคารของผู้นำเข้าส่ง B / E และเอกสารทั้งหมดให้ผู้นำเข้า ผู้นำเข้าหรือสัญญาณธนาคารเกี่ยวกับร่าง เมื่อ B / E ถึงวันที่ครบกำหนดส่งออกที่ได้รับการชำระเงิน
 
ขั้นตอนที่เก้า : ถ้ามันเป็นแบบร่าง D / P (เอกสารกับการชำระเงิน), หรือสายตาผู้นำเข้าจ่ายเงินตามที่ระบุไว้ใน B / E ให้กับธนาคารของผู้นำเข้าและเงินจะถูกโอนไปยังธนาคารที่ผู้ส่งออก จากนั้นผู้ส่งออกที่ได้รับการชำระเงินจากธนาคารของผู้ส่งออก





ภาคีแห่งตั๋วแลกเงินที่อยู่ :
ลิ้นชัก -- เป็นบุคคลที่ว่าปัญหาตั๋วแลกเงินในการทำธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศ; มักจะผู้ขายDrawee -- เป็นผู้รับของบิลใช้ในการแลกเปลี่ยนสำหรับการชำระเงินหรือการยอมรับในการทำธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศของผู้ซื้อมักจะผู้รับเงิน -- เป็นบุคคลผู้ที่บิลเป็นเจ้าหนี้การค้าที่มักจะขายหรือธนาคารของพวกเขา
อายุและ Usance :อายุเป็นระยะเวลาหลังจากที่การเรียกเก็บเงินจะกลายเป็นเจ้าหนี้การค้าดังนั้นการเรียกเก็บเงินที่เป็นเจ้าหนี้หลังจาก 90 วันนับจากวันที่ของการวาดภาพหรือการยอมรับ, ระยะเวลาการเรียกเก็บเงินที่เป็น 90 วัน บิลอาจจะทำให้เจ้าหนี้ :On Demand การเรียกเก็บเงินมาเพื่อเป็นเจ้าหนี้โดยเร็วการชำระเงินของมันคือการเรียกร้องโดยผู้ถือใบเรียกเก็บเงินที่สายตา ตั๋วแลกเงินวาดเพื่อจะกลายเป็นเจ้าหนี้ได้ทันทีจะถูกนำมาแจ้งให้ทราบจาก drawee ที่หลังจากวันที่ เมื่อเรียกเก็บเงินจะถูกวาด'หลังจากวันที่'วันเนื่องจากมีการคำนวณจากวันที่เรียกเก็บเงินที่หลังจากชม เมื่อเรียกเก็บเงินจะถูกวาดหลังจากสายตา'วันเนื่องจากมีการคำนวณจากวันที่มันเป็นสายตาหรือเห็นด้วย drawee IE, นับจากวันที่ได้รับการยอมรับโดย draweeUsance มันเป็นเวลาปกติของการชำระเงินของตั๋วแลกเงินเป็นคงที่โดยที่กำหนดเองวันนับจากวันพระคุณ :ในการคำนวณวันที่ครบกำหนดชำระเงินเป็นประเพณีในวงกลมเพื่อให้ธุรกิจสามวันเพิ่มเติมเพื่อ drawee หรือรับเพื่อตอบสนองการเรียกเก็บเงินวันพิเศษที่เรียกว่า"วันของพระคุณ"หรือ"วันพระคุณ" ดังนั้นการเรียกเก็บเงินลงวันที่ 15 มีนาคมสำหรับงวดสามเดือนจะกลายเป็นเจ้าหนี้ที่ 18 มิถุนายนนี้และเป็นวันครบกำหนดเจ้าของ :ผู้ถือของการเรียกเก็บเงินเป็นบุคคลที่มีสิทธิในสิทธิของเขาที่จะมีไว้ในครอบครองดังกล่าวและเพื่อเรียกร้องเงินจำนวนดังกล่าวที่ครบกำหนดผู้ถือครองในหลักสูตรเนื่องจาก :เมื่อมีบุคคลที่จะเรียกเก็บเงินที่สมบูรณ์และปกติบนใบหน้าของมันและก่อนวันครบกำหนดของตนโดยสุจริตและเพื่อประกอบการพิจารณาที่มีคุณค่าเขาเรียกว่าผู้ถือในหลักสูตรเนื่องจากได้รับการยอมรับ :เมื่อมีสัญญาณ drawee ชื่อของเขาไปทั่วใบหน้าของพร้อมกับคำว่า"ยอมรับ"บิลกล่าวจะได้รับการยอมรับและการกระทำของ drawee นี้จะเรียกว่าการยอมรับของการเรียกเก็บเงิน ก่อนหน้านี้จะทำ drawee ที่ไม่สามารถทำรับผิดชอบในการเรียกเก็บเงินแตกต่างกันของการตอบรับ :ยอมรับทั่วไป :เมื่อเรียกเก็บเงินได้รับการยอมรับโดยไม่มีเงื่อนไขการสั่งซื้อสินค้าจากลิ้นชักใด ๆ จะเรียกว่าได้รับการยอมรับทั่วไปที่ผ่านการรับรองการยอมรับ :เมื่อเรียกเก็บเงินได้รับการยอมรับที่มีคุณสมบัติบางอย่างที่จะสั่งซื้อจากลิ้นชักที่จะเรียกว่าได้รับการยอมรับคุณวุฒิที่มีคุณสมบัติเหมาะสมได้รับการยอมรับอีกครั้งอาจจะเป็นชนิดจากห้าชนิดที่แตกต่างกัน เหล่านี้เป็นประเภทดังต่อไปนี้เวลา เมื่อรับยินยอมที่จะจ่ายเงินค่าในวันอื่น ๆ กว่าวันที่กำหนดโดยลิ้นชักที่บางคนก็เรียกว่าได้รับการยอมรับผ่านการรับรองเป็นเวลาสถานที่ เมื่อเรียกเก็บเงินเป็นเจ้าหนี้ในสถานที่หนึ่งและมีเพียงจะเรียกว่าได้รับการยอมรับคุณวุฒิในท้องถิ่นบางส่วน เมื่อเรียกเก็บเงินเป็นที่ยอมรับสำหรับส่วนหนึ่งของจำนวนของการเรียกเก็บเงินที่จะเรียกว่ามีคุณสมบัติบางส่วนได้รับการยอมรับภาคี เมื่อเรียกเก็บเงินเป็นที่ยอมรับโดยหนึ่งหรือสองของ drawees แต่ไม่ได้ทั้งหมดก็จะเรียกว่ามีคุณสมบัติเป็นที่ยอมรับแก่บุคคลหรือกิจการสภาพ เมื่อเรียกเก็บเงินได้รับการยอมรับภายใต้เงื่อนไขบางอย่างเป็นจริงมันจะเรียกว่ามีคุณสมบัติตามเงื่อนไขที่ได้รับการยอมรับ

วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Bill of Exchange


ตั๋วแลกเงิน 
Bill of Exchange
        ตั๋วแลกเงิน หมายถึง หนังสือตราซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า “ผู้สั่งจ่าย” สั่งบุคคลอีกคนหนึ่งที่เรียกว่า “ผู้จ่าย” ให้ใช้เงินจำนวนหนึ่งแก่บุคคลคนหนึ่ง หรือให้ใช้ตามคำสั่งของบุคคลคนหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า “ผู้รับเงิน” ตั๋วแลกเงินจึงเป็นคำสั่งให้จ่ายเงินนั่นเอง 
อนุมาตรา 
(1) คำบอกชื่อว่าเป็นตั๋วแลกเงิน 
        คำบอกชื่อว่าตั๋วแลกเงินมีความหมายสำคัญเพื่อให้บุคคลที่เกี่ยวข้องรู้เห็นทราบได้ทันทีว่าตราสารนั้นเป็นตราสารพิเศษ และเนื่องจากเมื่อตราประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ขึ้น ตั๋วเงินเป็นของใหม่ไม่สู้แพร่หลาย จึงต้องบัญญัติให้ระบุลงไปในตั๋วให้ชัดแจ้งว่าเป็นตั๋วแลกเงิน ประกอบกับ Uniform Law (1930) ซึ่งเราอาศัยเป็นหลักในการร่างกฎหมายลักษณะตั๋วเงิน 
        สำหรับตั๋วแลกเงินมาจากต่างประเทศ อาจไม่มีคำว่า ตั๋วแลกเงิน (Bill of Exchange) เพราะบางประเทศ กฎหมายของเขาไม่บังคับให้ต้องระบุดังในมาตรา 909 (1) อย่างไรก็ดี คำบอกชื่อว่าตั๋วแลกเงินไม่จำเป็นต้องเขียนที่หัวกระดาษ อาจเป็นข้อความในตั๋วเงินว่า first of exchange ก็ได้ 
อนุมาตรา 
(2) คำสั่งอันปราศจากเงื่อนไขให้จ่ายเงินเป็นจำนวนแน่นอน 
        รายการนี้เป็นข้อบังคับเด็ดขาด ถ้าขาดไปจะไม่สมบูรณ์เป็นตั๋วแลกเงิน (มาตรา 910) ตามรูปตัวอย่างตั๋วแลกเงินคือ “โปรดจ่ายเงินจำนวนหนึ่งหมื่นบาท” ถ้าไม่กรอกจำนวนเงินเสียเลยหรือกรอกจำนวนเงินมิได้เป็นไปตามที่ผู้สั่งจ่ายขอร้อง ตั๋วแลกเงินนั้นย่อมไม่สมบูรณ์ อธิบายแยกได้เป็น 3 หัวข้อ คือ 
ก. คำสั่ง หมายความว่า เป็นคำบงการหรือคำบอก เพื่อให้ทำหรือให้ปฏิบัติโดยไม่ให้โอกาสเลือกทำหรือเลือกปฏิบัติของผู้รับคำสั่งและมิใช่เพียงแต่คำขอร้องหรือคำอ้อนวอนที่ผู้รับคำขอร้องหรือคำอ้อนวอนจะทำตามหรือไม่ก็ได้ อย่างไรก็ดี “คำสั่ง” ก็ไม่จำต้องเขียนลงไปในตัวแลกเงินตรงๆ ว่า “ข้าพเจ้ามีคำสั่งให้จ่ายเงิน” เพราะอาจใช้ถ้อยคำสุภาพลงไปในคำสั่งนั้นได้ เช่น “โปรดจ่ายเงิน” ซึ่งจะไม่ทำให้ตั๋วแลกเงินฉบับนั้นเสียไปเพราะมีความหมายเป็นข้อความกำหนดให้จ่ายเงินโดยผู้จ่ายไม่มีโอกาสเลือกจ่ายหรือไม่จ่ายตามอัธยาศัยของผู้จ่ายเช่นเดียวกัน 
ข. อันปราศจากเงื่อนไข หมายความว่า ลักษณะสำคัญที่สุดของตั๋วแลกเงิน คือ ความแน่นอนที่ตั๋วแลกเงินจะต้องได้รับการจ่ายเงินตามตั๋วนั้น จะมีเงื่อนไขในการคำสั่งให้จ่ายเงิน ตั๋วแลกเงินนั้นย่อมเกิดความไม่แน่นอนขึ้น คำว่าเงื่อนไข หมายความว่า เหตุการณ์อันใดอันหนึ่งที่เกิดขึ้นในอนาคตและไม่แน่นอน (เทียบมาตรา 182 เติมมาตรา 144) จึงต่างกับเงื่อนเวลา ซึ่งจะต้องมาถึงในอนาคตอย่างแน่นอน ดั้งนั้น ข้อความในคำสั่งให้จ่ายเงินจะเป็นเงื่อนไขหรือไม่ ต้องพิจารณาถึงความแน่นอนหรือไม่แน่นอนของเหตุการณ์ที่กำหนดไว้ในคำสั่งนั่นเอง 
ค. ให้จ่ายเงินเป็นจำนวนแน่นอน หมายความว่า คำสั่งในตั๋วแลกเงินต้องเป็นคำสั่งจ่ายเงินถ้าเป็นคำสั่งให้กระทำการอย่างอื่นนอกจากเงินแล้วจะไม่ใช่ตั๋วแลกเงิน แต่ถ้ามีคำสั่งว่าให้จ่ายเงินและสิ่งของอื่นควบไปด้วย คงมีผลเฉพาะคำสั่งให้จ่ายเงินเท่านั้น ส่วนคำสั่งที่ให้จ่ายสินค้าที่ระบุไว้ ย่อมไม่มีผลแก่ตั๋วแลกเงิน (มาตรา 899) และถ้ามีคำสั่งให้ผู้รับตั๋วแลกเงินเลือกเอาว่าจะรับเงินหรือรับสิ่งของอื่นแทน ดังนี้น่าจะทำไม่ได้ เพราะจะกลายเป็นคำสั่งที่ไม่แน่นอน คำว่า “เงิน” หมายถึง เงินตราที่ชำระหนี้ได้ตามพระราชบัญญัติเงินตรา ตั๋วแลกเงินโดยมากใช้ในระหว่างประเทศ ดังนั้น จึงสั่งจ่ายเป็นเงินตราต่างประเทศก็ได้ (มาตรา 196) คำว่า “เงินจำนวนแน่นอน” หมายความว่า ต้องเป็นเงินจำนวนที่เที่ยงแท้ไม่อาจเปลี่ยนแปลงไปทางเพิ่มหรือทางลดลงได้ 
อนุมาตรา
 (3) ชื่อหรือยี่ห้อผู้จ่าย 
     รายการข้อนี้บังคับเด็ดขาด ถ้าขาดตกบกพร่องให้ถือว่าไม่เป็นตั๋วแลกเงิน (มาตรา 910) 
        ผู้จ่าย คือ ผู้รับคำสั่งให้ใช้เงินตามตั๋วแลกเงิน จึงจำเป็นที่ผู้สั่งจ่ายต้องระบุชื่อผู้จ่ายไว้ในตั๋วแลกเงิน ผู้จ่ายอาจเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ได้ และอาจเป็นบุคคลเดียวหรือหลายคนร่วมกันจ่ายเงินก็ได้ เว้นแต่คำสั่งให้บุคคลหลายคนจ่ายเงินเรียงตามลำดับก่อนหลังโดยไม่ระบุให้รับผิดร่วมกัน หรือคำสั่งให้เลือกผู้จ่ายจากบุคคลหนึ่งบุคคลใดในหลายคนที่ระบุโดยไม่ระบุให้บุคคลเหล่านั้นต้องรับผิดร่วมกันจ่ายเงิน ย่อมทำให้ไม่ทราบตัวผู้จ่ายที่แน่นอนทำให้ตั๋วแลกเงินนั้นเสียไป 
        การระบุชื่อจ่าย อาจระบุเพียงตำบลที่อยู่ซึ่งเข้าใจกันก็ได้ การระบุชื่อผู้จ่ายที่ไม่มีตัวตนหรือสมมติขึ้น ก็ไม่ทำให้ตั๋วแลกเงินเสียไป เพราะมีรายการชื่อผู้จ่ายแล้ว และตั๋วแลกเงินไม่มีตัวผู้จ่าย ผู้สั่งจ่ายต้องรับผิดต่อผู้ทรง ส่วนยี่ห้อเป็นชื่อที่บุคคลใช้ในการค้า ไม่เป็นนิติบุคคล การระบุยี่ห้อเป็นผู้จ่ายต้องเข้าใจว่าหมายถึงบุคคลใด ถ้าไม่อาจทราบได้ ก็เท่ากับไม่มีตัวผู้จ่าย ผู้สั่งจ่ายต้องรับผิดต่อผู้ทรง ผู้จ่ายอาจเป็นบุคคลเดียวกันกับผู้สั่งจ่ายตามที่ มาตรา 912 วรรคสอง บัญญัติว่า “ตั๋วแลกเงินจะสั่งจ่ายเอาจากตัวผู้สั่งจ่ายเองก็ได้” 
อนุมาตรา
 (4) วันถึงกำหนดใช้เงิน 
วันถึงกำหนดใช้เงิน ย่อมเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ คือ 
1. ในวันใดวันหนึ่งที่กำหนดไว้ 
2. เมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้นับแต่วันที่ลงในตั๋วนั้น 
3. เมื่อทวงถามหรือเมื่อได้เห็น 
4. เมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้นับแต่ได้เห็น 
        รายการนี้ถ้าไม่ระบุไว้ ไม่ทำให้ตั๋วแลกเงินเสียไป แต่กฎหมายให้ถือว่าพึงใช้เงินเมื่อได้เห็น (มาตรา 910 วรรคสอง) 
อนุมาตรา
(5) สถานที่ใช้เงิน 
        สถานที่ใช้เงินนั้น ตามความคิดธรรมดาที่ระบุไว้ก็เพื่อผู้ทรงจะได้รู้ตำแหน่งแห่งที่ในการที่จะเอาตั๋วไปขึ้นเงิน แต่ในกฎหมายตั๋วเงินนั้น ผู้จ่ายยังมิได้เข้าเป็นคู่สัญญาในตั๋วแลกเงิน สถานที่ใช้เงินจึงมีความสำคัญที่ผู้ทรงจะยื่นตั๋วแลกเงินเพื่อให้ผู้จ่ายรับรองหรือเพื่อเรียกร้องให้ผู้จ่ายใช้เงิน ณ ที่ใดตามที่กำหนดไว้ในตั๋วแลกเงินนั้น ถ้าไม่มีสถานที่ใช้เงินตามที่ระบุผู้ทรงต้องทำการคัดค้านไว้ (ม. 962) จึงจะไม่เสียสิทธิไล่เบี้ย (ม. 973) กรณีที่ไม่ได้แถลงไว้ในตั๋วแลกเงิน มาตรา 910 วรรคสาม “ท่านให้ถือเอาภูมิลำเนาผู้จ่ายเป็นสถานที่ใช้เงิน” 
อนุมาตรา 
(6) ชื่อหรือยี่ห้อผู้รับเงินหรือคำจดแจ้งว่าให้ใช้เงินแก่ผู้ถือ 
        รายการข้อนี้บังคับเด็ดขาด ถ้าขาดตกบกพร่องไปย่อมไม่สมบูรณ์เป็นตั๋วแลกเงิน ความสำคัญของชื่อหรือยี่ห้อผู้รับเงินคือ ทำให้ผู้จ่ายทราบว่าจะจ่ายเงินให้แก่ใคร จะเป็นนิติบุคคลหรือบุคคลธรรมดาก็ได้ จะเป็นชื่อจริงหรือชื่อสมมุติ หรือตำแหน่งก็ได้ (ถ้าเป็นชื่อสมมุติและไม่มีตัวจริง กฎหมายอังกฤษให้จ่ายแก่ผู้ถือ แต่ของไทยไม่ได้ใช้อย่างนั้น) 
อนุมาตรา 
(7) วันและสถานที่ออกตั๋วเงิน 
ก. วันออกตั๋วเงิน หมายความถึงวันที่ระบุในตั๋วเงินนั้นได้ออกเมื่อใด ซึ่งกฎหมายไม่ได้ระบุว่าต้องใช้ “ตามวันแห่งปฏิทิน” ดังนั้นอาจระบุอย่างอื่นได้ เช่น วันเข้าพรรษา ปี 2537 หรือ วันเฉลิมพระชนมพรรษา ปี 2538 เป็นต้น ความสำคัญ คือ 
1) แสดงให้รู้กำหนดอายุของตั๋วเงิน ตามชนิดต่าง ๆ เช่น ชนิดใช้เงินเมื่อเห็น หรือ เมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้นับแต่ได้เห็นว่า ผู้ทรงต้องนำตั๋วยื่นให้ผู้จ่ายใช้เงินหรือรับรองภายในกำหนด 
2) ตั๋วเงินชนิดที่ให้ใช้เงินเมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้นับแต่วันที่ลงในตั๋วเงินนั้น วันออกตั๋วเงินมีความสำคัญที่จะต้องระบุไว้ในตั๋วนั้น 
3) ต้องใช้ในการคำนวณดอกเบี้ย 
- บุคคลที่จะลงวันออกตั๋วเงิน มีได้ 2 คน คือ (1) ผู้สั่งจ่าย (2) ผู้ทรง 
1) กรณีผู้สั่งจ่ายเป็นผู้ลงวันออกตั๋วเงิน : ผู้สั่งจ่ายสามารถตั้งใจลงวันให้ผิดความจริงได้ คือ ลงวันย้อนต้น ลงวันถัดไป หรือ ลงวันล่วงหน้า ก็ได้ 
2) กรณีผู้ทรงเป็นผู้ลงวันออกตั๋วเงิน : ม. 910 วรรคห้า “ถ้ามิได้ลงวันออกตั๋ว ท่านว่าผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายคนหนึ่งคนใดทำการโดยสุจริตจะจดวันตามที่ถูกต้องแท้จริงลงก็ได้” และ มาตรา 932 วรรคแรก “ตั๋วแลกเงินฉบับใดเขียนสั่งให้ใช้เงินในกำหนดระยะเวลาอย่างใดอย่างหนึ่งนับแต่วันที่ลงในตั๋วเงินนั้น แต่หากมิได้ลงวันไว้ ฯลฯ ท่านว่าผู้ทรงจะจดวันออกตั๋ว ฯลฯ ลงตามที่แท้จริงก็ได้ แล้วพึงให้ใช้เงินตามนั้น” หมายความว่า ในกรณีที่ผู้สั่งจ่ายมิได้ลงวันออกตั๋วเงินไว้เลย ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายหรือผู้ทำการแทนผู้ทรงโดยชอบย่อมมีสิทธิที่จะจดวันออกตั๋วได้ แต่ต้องเป็นการจดวันตามที่ถูกต้องแท้จริงและการจดวันนั้นต้องจดโดยสุจริต คือ จดตามวันที่ผู้ทรงเชื่อหรือเข้าใจว่าเป็นวันที่ถูกต้องนั่นเอง 
        ถ้าผู้ทรงจดวันลงไปไม่ตรงตามที่เป็นจริง ที่เรียกว่า ลงวันคลาดเคลื่อนหรือลงวันผิดนั้น ไม่ว่าผู้ทรงจะสุจริตหรือไม่สุจริตก็ตาม ถ้าตั๋วเงินนั้นโอนต่อไปยังผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายคนถัดไปแล้ว ก็ต้องบังคับตาม ม. 932 วรรคสอง “อนึ่ง ท่านบัญญัติไว้ว่า ในกรณีที่ผู้ทรงทำการโดยสุจริตแต่ลงวันคลาดเคลื่อนไปด้วยสำคัญผิดและในกรณีลงวันผิดทุกสถาน หากว่าในภายหลังตั๋วเงินนั้นตกไปยังมือผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ท่านให้คงเป็นตั๋วเงินที่ใช้ได้และพึงใช้เงินกันเหมือนดั่งว่าวันที่ได้จดลงนั้นเป็นวันที่ถูกต้องแท้จริง” ที่กล่าวมาในข้อ 2 นี้เป็นกรณีที่ผู้สั่งจ่ายไม่ได้ลงวันออกตั๋วไว้เลย 
ข. สถานที่ออกตั๋วเงิน รายการนี้ไม่บังคับเด็ดขาด ม. 910 วรรคสี่ “ถ้าตั๋วแลกเงินไม่แสดงให้ปรากฏสถานที่ออกตั๋ว ท่านให้ถือว่าตั๋วเงินนั้นได้ออก ณ ภูมิลำเนาของผู้สั่งจ่าย” 
        ความสำคัญคือ เพื่อให้รู้ว่าเป็นตั๋วเงินภายในประเทศหรือตั๋วเงินออกมาแต่ต่างประเทศ และให้รู้ที่อยู่ผู้สั่งจ่ายในกรณีตั๋วเงินขาดความเชื่อถือโดยผู้จ่ายไม่รับรองหรือไม่ยอมใช้เงิน ผู้ทรงจะได้หาตัวผู้สั่งจ่ายพบ หรือจะได้ส่งคำบอกกล่าวได้ (ม. 963) 
อนุมาตรา 
(8) ลายมือชื่อผู้สั่งจ่าย 
รายการนี้บังคับเด็ดขาด ถ้าขาดย่อมไม่สมบูรณ์เป็นตั๋วแลกเงิน (ม. 910) 
ม. 9 “เมื่อมีกิจการอันใดซึ่งกฎหมายบังคับให้ทำเป็นหนังสือบุคคลผู้จะต้องทำหนังสือไม่จำเป็นต้องเขียนเอง แต่หนังสือนั้นต้องลงลายมือชื่อของบุคคลนั้น” 
ม. 900 วรรคสอง “ถ้าลงเพียงแต่เครื่องหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น แกงได หรือลายพิมพ์นิ้วมือ อ้างเอาเป็นลายมือชื่อในตั๋วเงินไซร้ ถึงแม้ว่าจะมีพยานลงชื่อรับรองก็ตาม ท่านว่าหาให้ผลเป็นลงลายมือชื่อในตั๋วเงินไม่” 
9.1.2 วันถึงกำหนดของตั๋วแลกเงิน 
วันถึงกำหนดของตั๋วแลกเงิน คือ วันถึงกำหนดใช้เงิน 
ม. 913 “อันวันถึงกำหนดของตั๋วแลกเงินนั้นท่านว่าย่อมเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งดังกล่าวต่อไปนี้ คือ 
(1) ในวันใดวันหนึ่งที่กำหนดไว้ หรือ 
(2) เมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้นับแต่วันที่ลงในตั๋วนั้น หรือ 
(3) เมื่อทวงถามหรือเมื่อได้เห็น หรือ 
(4) เมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้นับแต่ได้เห็น”แบ่งเป็น 2 ชนิด 
ก. ตั๋วแลกเงินที่สั่งให้ใช้เงินเมื่อทวงถามหรือเมื่อได้เห็น (ตาม ม. 913 (3)) 
- ตั๋วที่ให้ใช้เงินเมื่อเห็น นั้นผู้ทรงต้องยื่นให้ใช้เงินภายในหกเดือน นับแต่วันที่ลงในตั๋วนั้น ม. 944, 928 
- ตั๋วที่ให้ใช้เงินเมื่อทวงถาม นั้น ผู้ทรงยื่นตั๋วทวงถามให้ใช้เงินเมื่อใดผู้จ่ายต้องใช้เงินทันที ผู้ทรงเก็บตั๋วไว้ได้นาน อาจจะเป็นสิบปี ตามใดที่ไม่ทวงถาม กำหนดอายุความยังไม่มี อายุความยังไม่เริ่มนับตาม ม. 1001, 1002 นัย ฎ. 404/2515 เว้นแต่เช็ค ม. 990 “ผู้ทรงต้องยื่นเช็คต่อธนาคารเพื่อให้ใช้เงิน คือว่าถ้าเป็นเช็คให้ใช้เงินในเมืองเดียวกันกับที่ออกเช็คต้องยื่นภายในเดือนหนึ่งนับแต่วันออกเช็คนั้น ถ้าเป็นเช็คให้ใช้เงินที่อื่นต้องยื่นภายในสามเดือน ถ้ามิฉะนั้น ท่านว่าผู้ทรงสิ้นสิทธิจะไล่เบี้ยเอาแก่ผู้สลักหลังทั้งปวง ทั้งเสียสิทธิอันมีต่อผู้สั่งจ่ายด้วย เพียงเท่าที่จะเกิดความเสียหายอย่างหนึ่งอย่างใดแก่ผู้สั่งจ่ายเพราะการที่ละเลยเสียไม่ยื่นเช็คนั้น” 
ข. ตั๋วแลกเงินที่มีกำหนดเวลาให้ใช้เงิน (ตาม ม. 913 (1) (2) (4))แบ่งเป็น 3 ชนิด 
(1) ตั๋วแลกเงินที่สั่งให้ใช้เงินในวันใดวันหนึ่งที่กำหนดไว้ (ตาม ม. 913 (1)) : ปกติจะกำหนดตามวันแห่งปฏิทิน แต่กฎหมายไม่ได้กฎหมายไม่ได้กำหนดไว้ว่า “ตามวันแห่งปฏิทิน” จึงอาจกำหนดเป็นวันอื่นที่แน่นอนได้ 
(2) ตั๋วแลกเงินที่สั่งให้ใช้เงินเมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้นับแต่วันที่ลงในตั๋วนั้น ตาม ม. 913 (2) 
(3) ตั๋วแลกเงินที่สั่งให้ใช้เงินเมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้นับแต่ได้เห็น ตาม ม. 913 (4) : ผู้ทรงต้องยื่นตั๋วให้เห็นก่อนจึงจะเริ่มนับวัน 
                                                                 ตัวอย่างของตั๋วแลกเงิน 


mind mapBill of Exchange

วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2554


เอกสารที่ใช้ประกอบทางการค้าระหว่างประเทศ (Commercial Documents) ที่ผู้ซื้อ (Importer) และผู้ขาย (Exporter) ระบุไว้ในสัญญาการสั่งซื้อสินค้าเข้าหรือการส่งสินค้าออก ที่พบเห็นทั่วไป มีดังนี้
1. Draft / Bill of Exchange : ดร๊าฟ หรือตั๋วแลกเงิน
2. Invoice : บัญชีราคาสินค้า หรือใบกำกับราคาสินค้า
3. Bill of Lading : ใบตราส่งสินค้า
4. Air Waybill : ใบตราส่งสินค้าทางอากาศ
5. Parcel Post Receipt : ใบพัสดุภัณฑ์ไปรษณีย์
6. Rail Way Bill : ใบตราส่งทางรถไฟ
7. Insurance Policy : กรมธรรม์ประกันภัย
8. Insurance Certificate : ใบรับรองการประกันภัย
9. Certificate of Origin : ใบรับรองต้นกำเนิดสินค้า
10. Certificate of Inspection : ใบสำคัญแสดงการตรวจสินค้า
ตั๋วฉบับหนึ่งๆ นั้นไม่จำเป็นว่าจะต้องประกอบด้วยเอกสารทุกชนิด ซึ่งแล้วแต่การเรียกร้องต้องการของผู้สั่งซื้อสินค้า (Importer) ตามความตกลงกันระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย
Draft or Bill of Exchange : ดร๊าฟหรือตั๋วแลกเงิน ที่ใช้กันอยู่แพร่หลายมี 3 อย่าง คือ
1. ตั๋วแลกเงิน (Bill of Exchange) ? เป็นตราสารที่ผู้ออกตราสาร (ผู้ออกตั๋ว) สั่งให้บุคคลหนึ่ง
(ผู้จ่ายเงินตามตั๋ว) จ่ายเงินให้แก่บุคคลอีกบุคคลหนึ่ง (ผู้รับเงินตามตั๋ว)
2. ตั๋วสัญญาใช้เงิน (Promissory Note) ? เป็นตราสารที่ผู้ออกตั๋วให้สัญญาว่า จะใช้เงินจำนวนหนึ่งแก่บุคคลอีกคนหนึ่ง (ผู้รับเงิน) ตามคำสั่งเมื่อถึงกำหนดเวลา
3. เช็ค (Check) ? เป็นตราสารที่บุคคลผู้ออก (ผู้สั่งจ่าย) สั่งธนาคาร (ที่ตนมีบัญชีอยู่) ให้จ่ายเงินจำนวนตามที่ระบุแก่บุคคลอีกคนหนึ่ง (ผู้รับเงิน)
ชนิดของตั๋วแลกเงิน : แบ่งตามลักษณะของตั๋ว คือ
1. Bank Bills (Banker’s Draft) ? เป็นดร๊าฟที่ธนาคารออกสั่งให้ธนาคารอีกแห่งหนึ่งจ่ายเงินให้แก่ผู้ที่ถูกระบุชื่อในดร๊าฟ ซึ่งเป็นลักษณะที่ Drawer (ผู้สั่งจ่าย) และ Drawee (ผู้จ่าย) เป็นธนาคาร
2. Trade Bills (Time Bills or House Bills) ? เป็นตั๋วที่ใช้ในระหว่างพ่อค้าเพื่อเรียกเก็บเงินจากพ่อค้าด้วยกัน โดยมากใช้ในระหว่างบริษัทที่มีสาขาอยู่ในต่างประเทศ เป็นผู้ออกใช้กันเองระหว่างสาขา และสำนักงานใหญ่ของตน
3. Commercial Bill ? เป็นตั๋วที่พ่อค้าเป็นผู้สั่งจ่าย (Drawer) และธนาคารเป็นผู้จ่ายเงิน (Drawee)ตั๋วชนิดนี้ใช้เกี่ยวกับการเปิด L/C ซึ่ง Commercial Bill สามารถแบ่งแยกออกเป็น 2 ชนิดย่อย คือ
3.1 Clean Bills ? คือ ตั๋วที่ไม่มีเอกสารประกอบ มักใช้กับการชำระเงินค่าสินค้าในระยะยาว อาจเป็น 3, 5 ปี โดยชำระเป็นงวดๆ
3.2 Documentary Bills ? เป็นตั๋วที่มีเอกสารประกอบ ส่วนมากมักเป็นเอกสารในการส่งสินค้าที่เรียกว่า Shipping Documents Documentary Bills มีอยู่ 2 แบบ คือ
3.2.1 Documents Against Payment Bill : (ตั๋ว D/P) ? เป็นตั๋วที่ผู้ส่งสินค้า (Exporter) จะต้องจ่ายเงินให้ธนาคารก่อน แล้วจึงจะรับเอกสารไปออกของได้
3.2.2 Documents Against Acceptance Bill : (ตั๋ว D/A) ? เป็นตั๋วที่ผู้สั่งสินค้า (Importer) จะต้องรับรองตั๋ว (Bill of Exchange หรือ Draft) ก่อน แล้วจึงรับเอกสารไปแล้ว และจะชำระเงินภายหลังเมื่อถึงระยะเวลาที่ระบุไว้ใน Draft
ชนิดของตั๋วแลกเงิน : แบ่งตามระยะเวลาในการชำระเงิน คือ
1. Sight Draft (Demand Draft) ? เป็นตั๋วเงินที่จ่ายเมื่อทวงถาม (On Demand) คือ ระบุให้จ่ายเงินเมื่อเห็น (At Sight) โดยเมื่อธนาคารผู้เปิดเครดิต (Issuing Bank) ได้รับ Draft จะเรียกให้ผู้ซื้อ (Importer) จ่ายเงิน และส่งเงินนั้นไปให้แก่ Negotiating Bank ทันที
2. Time Draft (Usance Draft) ? เป็นตั๋วที่จ่ายเงินตามระยะเวลาในวันข้างหน้าตามที่กำหนดไว้ (Deferred Payment) เช่น 15, 30 หรือ 60 วัน โดย Time Draft นี้ จะเป็นการกำหนดระยะเวลาต่างๆ กัน คือ
2.1 Fixed Date ? ให้จ่ายในวันใดวันหนึ่งที่กำหนด ซึ่งจะระบุวันที่ถึงกำหนดได้เลย
2.2 Days After Date ? ให้จ่ายเมื่อสิ้นระยะเวลาที่กำหนดไว้ นับแต่วันที่ออก Draft เช่น 30 Days after Date of Draft
2.3 Day after Sight ? ให้จ่ายเงิน เมื่อสิ้นเวลาที่กำหนดไว้นับตั้งแต่ได้เห็น (หมายถึง ตั้งแต่วันที่รับรองตั๋ว)
Invoice : บัญชีราคาสินค้าหรือใบกำกับราคาสินค้า ? เป็นเอกสารที่ผู้ส่งสินค้า (Exporter) จัดขึ้น เพื่อแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้า เช่น รายการจำนวนสินค้า, น้ำหนัก ราคาต่อหน่วย ราคารวม ประเภทของราคา ที่จะทำการซื้อขายกัน เครื่องหมายหีบห่อ ชื่อเรือที่ทำการขนส่ง ชื่อผู้ซื้อ เป็นต้น แต่ละบริษัทผู้ขายสินค้า (Exporter) จะมี Form ในการออก Invoice ของตนเอง และส่งไปพร้อมกับสินค้า พร้อมทั้งส่งมอบให้ผู้ซื้อ (Importer) เป็นหลักฐานในการตรวจสอบสินค้า
ชนิดของ Invoice มี 2 ชนิด คือ
1. Official Invoice ? เป็น Invoice ที่ใช้ในทางรัฐบาลซึ่งทางการประเทศปลายทางต้องการ โดยแบ่งออกเป็น
1.1 Customs Invoice ? เป็น Invoice ที่ทำขึ้นเพื่อมอบให้ด่านศุลกากรปลายทางใช้ตรวจสินค้า การที่ด่านศุลกากรเรียก Invoice ชนิดนี้ก็เพื่อหาทางป้องกันการตัดราคาตลาด (Dumping) ในบางประเทศ
1.2 Consular Invoice ? เป็น Invoice ที่ต้องนำไปให้กงสุลของประเทศที่จะส่งสินค้าไป ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศผู้ขาย (Export Country) ตรวจตราเสียก่อนที่จะส่งไปตามระเบียบศุลกากรของประเทศผู้ซื้อ (Import Country) ดังนั้น Invoice ที่ออกโดยสถานกงสุลจะต้องได้รับการประทับตราทางราชการ และลงนามโดยถูกต้อง ซึ่งจะต้องเสียค่าธรรมเนียมให้สถานกงสุลตามระเบียบของสถานกงสุลนั้นๆ
2. Commercial Invoice ? เป็นเอกสารที่ผู้ส่งสินค้า (Exporter) จัดทำขึ้นเพื่อแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้า เช่น รายการจำนวนสินค้า น้ำหนัก ราคาต่อหน่วย ราคารวม ประเภทของราคาที่จะทำการซื้อขายกัน เป็นต้น
Commercial Invoice สามารถจำแนกออกเป็น 5 ชนิด คือ
1. Local Invoice =>ใช้ในกิจการค้าภายในประเทศ
2. Shipping Invoice =>ใช้ในกิจการค้าระหว่างประเทศ
3. Consignment Invoice =>ใช้ในการสั่งสินค้าไปเพื่อฝากขายราคาที่แจ้งจะเป็นราคา C.I.F.
4. Sample Invoice =>ใช้สำหรับส่งสินค้าตัวอย่างไปต่างประเทศ
5. Pro-forma Invoice ? ใช้ในการเสนอราคา และเงื่อนไขในการจ่ายเงิน
Bill of Lading : ใบตราสารส่งสินค้า ? เป็นเอกสารที่บริษัทผู้ทำการขนส่งสินค้า (Shipping Company) ออกให้แก่ผู้จัดส่ง (Shipper) ไว้ เพื่อเป็นหลักฐานว่าตนได้รับมอบสินค้าไว้เพื่อทำการขนส่งจากที่แห่งหนึ่งไปยังสถานที่อีกแห่งหนึ่งตามที่กำหนด
ลักษณะที่สำคัญของ Bill of Lading มี 3 ประการคือ
1. เป็น Receipt ? คือ เป็นใบรับสินค้าที่จะทำการขนส่ง แสดงรายการสินค้าตามสภาพภายนอกของหีบห่อ และจดแจ้งประเภทของสินค้า
2. เป็น Contract ? คือ เป็นสัญญาระหว่างผู้ส่งกับผู้ขนส่งว่าจะดำเนินการขนส่งสินค้าไปยังเมืองปลายทางที่กำหนด และจะส่งมอบสินค้าให้กับผู้รับตามคำสั่งของผู้ส่ง (to the order of shipper)
3. เป็นตราสารที่แสดงสิทธิของผู้ทรง (Document of Title) ? แสดงว่าผู้ทรง L/C เป็นเจ้าของสินค้าตามรายการที่ทำการขนส่งนั้นๆ และโอนสิทธิต่อๆ กันได้ ดังนั้น B/L จึงเป็นเอกสารที่เปลี่ยนมือได้ (Negotiable)
Air Waybill : ใบตราส่งสินค้าทางอากาศ ? เป็นใบรับและเป็นสัญญารับขนสินค้าของบริษัทการบิน ออกให้แก่ผู้ส่งออก (Exporter) ซึ่งต่างไปจาก B/L โดย Air Way Bill ไม่ใช่ตราสารแสดงสิทธิของผู้ทรงเอกสาร
Parcel Post Receipt : ใบพัสดุภัณฑ์ไปรษณีย์ ? เป็นใบออกโดยสำนักงานไปรษณีย์ (Post Office) ของประเทศต้นทางส่งสินค้าให้ไว้เป็นหลักฐานว่า จะจัดส่งหีบห่อสินค้าตามที่ระบุไว้ไปให้แก่ผู้รับปลายทางสำนักงานไปรษณีย์ในประเทศผู้รับสินค้า ซึ่ง Parcel Post Receipt มีลักษณะเป็นเพียงใบรับเท่านั้น
Rail Waybill : ใบตราส่งทางรถไฟ ? เป็นใบรับออกโดยการรถไฟหรือตัวแทน (Agent) และมีลายเซ็นของผู้ทำการขนส่ง และตัวแทนลงนามประทับตราและวันที่ออก
Insurance Policy : ใบกรมธรรม์ประกันภัย ? เป็นสัญญาซึ่งบุคคลหนึ่งคือ ผู้รับประกันภัยตกลงจะจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลหนึ่ง คือ ผู้เอาประกันซึ่งได้เสียเบี้ยประกันภัยให้แก่ผู้รับประกันภัย ในกรณีที่มีภัยตามที่ได้ตกลงกันไว้ เกิดขึ้นแก่สินค้าที่เอาประกันภัย
Insurance Certificate : ใบรับรองการประกันภัย ? คือ หลักฐานที่ผู้รับประกันภัยออกให้แก่ผู้ประกันภัยในแต่ละครั้งที่มีการขนส่งสินค้า
Certificate of Origin : ใบรับรองต้นกำเนิดสินค้า ? เป็นใบรับรองต้นกำเนิดสินค้า ว่าสินค้านั้นๆ มีกำเนิดในประเทศใด ตามปกติแล้วจะนิยมให้สภาการค้า (Chamber of Commerce) ของประเทศผู้ส่งสินค้าเป็นผู้ออกให้ วัตถุประสงค์ในการใช้เอกสารนี้ ก็โดยเหตุที่บางประเทศเรียกเก็บภาษีศุลกากรจากสินค้าที่ผลิตในประเทศที่มีสนธิสัญญาในเรื่องภาษีต่อกันต่ำกว่าสินค้าจากประเทศอื่น หรือห้ามสินค้าจากประเทศใดประเทศหนึ่งเข้าประเทศของตน
Certificate of Inspection : ใบสำคัญแสดงการตรวจสินค้า ? เป็นเอกสารรับรองคุณภาพของสินค้าที่ออกโดยองค์การตรวจของรัฐบาลหรือเอกชนที่เชื่อถือได้ เนื่องจากสินค้าบางชนิดผู้ซื้อ (Importer) ต้องการให้มีการตรวจคุณภาพสินค้าด้วย
Certificate of Analysis : ใบสำคัญแสดงการวิเคราะห์ ? เป็นเอกสารแสดงการวิเคราะห์ว่าสินค้านั้นๆ มีส่วนผสมอะไรบ้าง และมีสัดส่วนอย่าไร ซึ่งผู้ซื้อ (Importer) จะได้ทราบว่า สินค้ามีส่วนผสมตามความตกลง
Health Certificate : ใบสำคัญแสดงความสมบูรณ์ของสินค้า ? เป็นเอกสารที่แสดงถึงความสมบูรณ์ของสินค้า สินค้าบางชนิดจำเป็นต้องใช้โดยเฉพาะสินค้าทางการเกษตร ซึ่งต้องการคำรับรองว่า มีความสมบูรณ์ปราศจากโรครบกวน
Beneficiary’s Certificate : ใบรับรองผู้ขาย ? มักจะออกโดยผู้ขาย (ผู้รับประโยชน์) เพื่อรองรับว่าได้ส่งสำเนาเอกสาร (Shipping Documents) 1 ชุด หรือ เอกสารฉบับหนึ่งฉบับใดตามที่ได้ระบุไว้ในเครดิตให้แก่ผู้ซื้อโดยตรง หลังจากสินค้าลงเรือแล้ว
Packing & Weight List : ใบแสดงการบรรจุหีบห่อและใบแสดงรายการน้ำหนักสินค้า ? เป็นรายการในการบรรจุหีบห่อ แสดงถึงการบรรจุของในแต่ละหีบห่อว่าได้บรรจุสินค้าแบบใด จำนวนเท่าใด ในบางครั้งจะแสดงถึงน้ำหนักและขนาดด้วย ถ้าหากไม่แจ้งขนาดและน้ำหนักจะมีเอกสารที่แยกออกไป
Weight Certificate : ใบรับรองแสดงน้ำหนักสินค้า ? เป็นใบรับรองแสดงน้ำหนักสินค้า ซึ่งผู้ซื้อจะทราบว่าสินค้ามีน้ำหนักตามมาตรฐานที่ได้ตกลงซื้อขายกันหรือไม่

บริการด้านการออมและการลงทุน ตั๋วแลกเงิน
ตั๋วแลกเงิน

ตั๋วแลกเงิน (Bill of Exchange) คือ ตราสารทางการเงินที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์ เพื่อระดมเงินฝากจากประชาชนซึ่งเป็นลักษณะกู้ยืมเงินจากประชาชน ผู้ลงทุนในตั๋วแลกเงินของธนาคารจะมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ของธนาคาร โดยสถาบันคุ้มครองเงินฝากไม่ได้ให้การค้ำประกันเงินต้นและดอกเบี้ยของตั๋วแลกเงิน   
  • ลักษณะบริการ

ลักษณะบริการ

  • ตั๋วแลกเงิน (Bill of Exchange) คือ ตราสารทางการเงินที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์ เพื่อระดมเงินฝากจากประชาชนซึ่งเป็นลักษณะกู้ยืมเงินจากประชาชน
  • ผู้ลงทุนในตั๋วแลกเงินของธนาคารจะมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ของธนาคาร โดยสถาบันคุ้มครองเงินฝากไม่ได้ให้การค้ำประกันเงินต้นและดอกเบี้ยของตั๋วแลกเงิ


อัตราดอกเบี้ย / ค่าธรรมเนียม

  • อัตราดอกเบี้ยตั๋วแลกเงินตามประกาศธนาคาร
  • ตั๋วแลกเงินทุกประเภท ธนาคารชำระดอกเบี้ยเมื่อครบกำหนด ตามที่ระบุไว้ในตั๋วแลกเงิน  ยกเว้นตั๋วแลกเงินประเภท 36 เดือน ชำระดอกเบี้ยแบบรายเดือน และธนาคารจะหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามเงื่อนไขของกรมสรรพกร
  • กรณีไถ่ถอนก่อนครบกำหนดได้รับดอกเบี้ยตามประกาศอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ทั่วไป ณ วันที่ธนาคาร
    • เงื่อนไขการใช้บริการ

    • การซื้อตั๋วแลกเงินแต่ละฉบับต้องมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 500,000 บาท และส่วนที่เกินกว่า 500,000 บาทต้องเป็นจำนวนทวีคูณของ 10,000 บาท
    • ลูกค้าต้องมีบัญชีเงินฝากออมทรัพย์กับธนาคาร เพื่อการโอนเงินต้นและ/หรือดอกเบี้ยของตั๋วแลกเงินเมื่อถึงวันครบกำหนด ตามที่ระบุไว้ในใบคำขอซื้อตั๋วแลกเงิน





ตั๋วแลกเงิน

ตั๋วเงินธนาคารกรุงเทพของตลาดหลักทรัพย์ 

หากคุณมีความสนใจในการลงทุนซื้อตั๋วเงินของเราในการแลกเปลี่ยนและได้รับผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากประจำปกติมีกำหนดที่คล้ายกัน

อะไรตั๋วแลกเงินคืออะไร?

ตั๋วแลกเงินเป็นเงินลงทุนสำหรับระยะเวลาที่กำหนดเวลาที่ส่งกลับเป็นจำนวนเงินที่เป็นที่รู้จักของดอกเบี้ย คำว่า"บิล"หมายถึงการรับรองหรือใบเสร็จรับเงินซึ่งออกโดยทั่วไป แต่รายการของธนาคารในสมุดบัญชีเงินฝากยังให้ข้อมูลเช่นเดียวกับ"บิล"ด้วยความสะดวกสบายของการไม่ต้องจัดการกับเอกสารหลาย ๆ นอกจากนี้ตั๋วเงินที่สามารถนำมาแลกกับธนาคาร

ตั๋วแลกเงินจะมีอัตราที่สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากประจำทำไม?

ตั๋วแลกเงินไม่ถือว่าเป็นเงินฝาก

ผู้ที่สามารถลงทุน?

ที่อาศัยอยู่ในไทยหรือชาวต่างชาติที่ได้รับสถานะถิ่นที่อยู่

เงื่อนไขอะไรที่พร้อมใช้งาน

ความหลากหลายของการมีอยู่ -- คล้ายกับเงินฝากประจำ ตรวจสอบนี้ การเชื่อมโยง สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับเงื่อนไขและอัตราที่ (ที่มีอยู่ในไทยเท่านั้น)

เงื่อนไขเกี่ยวกับตั๋วแลกเงิน
  • ตั๋วแลกเงินที่ออกโดยธนาคารกรุงเทพและจดทะเบียนภายใต้ชื่อของผู้ถือ พวกเขาจะไม่สามารถโอนเปลี่ยนมือได้
  • ธนาคารจะกำหนดและประกาศ tenures ของตั๋วเงินที่ใช้ในการแลกเปลี่ยน คลิก ที่นี่ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม (ที่มีอยู่ในไทยเท่านั้น)
  • ผู้ถือตั๋วแลกเงินจะได้รับบิลจากสมุดบัญชีเงินฝากแลกเปลี่ยนเพื่อบัน​​ทึกการลงทุนของพวกเขา
  • เมื่อตั๋วแลกเงินถึงครบกําหนดธนาคารจะต่ออายุโดยอัตโนมัติและใช้เงินต้นและดอกเบี้ยที่จะซื้อใหม่สำหรับงวดการชำระเงินเดียวกัน
  • เมื่อครบและการสอนโดย Bill ของผู้ถือ Exchange, บิลแลกเปลี่ยนของเงินต้นและดอกเบี้ยที่ได้ถูกโอนไปยังได้รับการแต่งตั้งธนาคารกรุงเทพบัญชีออมทรัพย์หรือกระแสหรือฝากเข้าบัญชีคงที่โดยใช้หมายเลขบัญชีเช่นเดียวกับที่ของบิลก่อนหน้าของการแลกเปลี่ยน .
  • บิลของผู้ถือตลาดหลักทรัพย์ยังสามารถเลือกที่จะถ่ายโอนเฉพาะบิลที่น่าสนใจแลกเปลี่ยนหลังจากที่มันถึงกำหนด, เป็นได้รับการแต่งตั้งธนาคารกรุงเทพบัญชีออมทรัพย์หรือกระแส 
ให้มากที่สุดของผลประโยชน์เหล่านี้ -- ตั๋วแลกเงิน
  • การลงทุนมีความเสี่ยงต่ำที่มีผลตอบแทนคงที่ช่วงเวลาที่เลือก
  • ผลตอบแทนสูงเมื่อเทียบกับเงินฝากประจำที่มีระยะเวลาครบกำหนดที่คล้ายกัน
  • บันทึกการลงทุนในตั๋วเงินงบการเงินรวมของสมุดบัญชีเงินฝากแลกเปลี่ยน
  • หรือการชำระเงินไถ่ถอน (ดอกเบี้ยและเงินต้น) จะถูกโอนโดยอัตโนมัติไปยังธนาคารกรุงเทพบัญชีออมทรัพย์ของคุณ
  • ตั๋วแลกเงินสามารถใช้เป็นหลักประกันการกู้ยืมเงิน
วิธีการซื้อตั๋วแลกเงิน
  • ตั๋วแลกเงินมีอยู่ที่ใด ๆ ที่ธนาคารกรุงเทพทุกสาขาทั่วประเทศ
  • ตั๋วแลกเงินที่มีอยู่ไปยังบุคคล, นิติบุคคลและสถาบันการเงิน ผู้ซื้อทั้งหมดจะต้องอาศัยอยู่ในประเทศไทย
* ผู้ถือตั๋วแลกเงินจะถือว่าเป็นเจ้าหนี้ของธนาคาร ตั๋วเงินของ Exchange ไม่อยู่ภายใต้การป้องกัน (ดอกเบี้ยและเงินต้น) ของสถ​​าบันคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ. 2551

เอกสารที่ต้องใช้ในการซื้อตั๋วแลกเงิน

บุคคลที่
  • สำเนาของทั้งบัตรประจำตัวประชาชน, สำเนาหนังสือเดินทางหรือเอกสารการลงทะเบียนคนต่างด้าวสำหรับชาติที่ไม่ใช่คนไทยที่มีถิ่นที่อยู่สถานะ
  • สำเนาหน้าแรกของสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารของกรุงเทพมหานครเพื่ออนุญาตให้ธนาคารกรุงเทพเพื่อเงินต้นและดอกเบี้ยบัตรเครดิตไปยังบัญชีของคุณ
นิติบุคคลและสถาบันการเงิน
  • หนังสือรับรองการจดทะเบียน บริษัท
  • สำเนาหน้าแรกของ บริษัท ฯ ในสมุดบัญชีเงินฝากของธนาคารกรุงเทพสำหรับการอนุมัติสินเชื่อของเงินต้นและดอกเบี้ยในบัญชีของคุณ
  • นาทีของการประชุมของคณะกรรมการ บริษัท ฯ กรรมการของ บริษัท อนุมัติการลงทุนในตั๋วเงินของธนาคารกรุงเทพของตลาดหลักทรัพย์
  • บัตรประจำตัวประชาชนของกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการในนามของ บริษัท ฯ
  • หนังสือมอบอำนาจให้อำนาจกรรมการที่จะกระทำในนามของ บริษัท
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อสาขาธนาคารกรุงเทพหรือโทรบัวหลวงโฟนได้ที่โทร 1333